คอนเนคเตอร์ที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร ??
คอนเนคเตอร์ที่ดีต้องมีหน้าสัมผัสแท้จริงระหว่างโลหะเป็นจำนวนมากพอเพื่อที่จะทนต่อการรับกระแสสูงสุด ซึ่งอาจจะเกิดได้ในระบบ และจะต้องไม่ทำให้คอนเนคเตอร์เองเสียสภาพหรือด้อยคุณภาพไปก่อนที่จะหมดอายุการใช้งาน ซึ่งนอกจากจะต้องมีพื้นที่หน้าสัมผัสที่พอเพียงแล้วยังจะต้องป้องกันไม่ให้ออกไซด์กินลึกเข้าไปในจุดสัมผัสซึ่งจะไปลดพื้นที่สัมผัสที่แท้จริงได้
ในการต่อเชื่อมสายนั้นเราจำเป็นที่จะต้องทำให้ความต้านทานของจุดต่อเชื่อมสายมีค่าน้อยที่สุด คือจะต้องทำให้พื้นที่หน้าสัมผัสสะอาด และเพิ่มขึ้นมากที่สุด
การเลือกคอนเน็คเตอร์เพื่อนำไปใช้งานนั้นควรพิจารณาจากสิ่งเหล่านี้ คือ
จำนวนขั้วต่อ (Pole): ควรทราบลักษณะงานว่าต้องใช้จำนวนขั้วต่อเท่าไร ในกรณีที่เป็น Multipole connector รุ่นที่ถูกออกแบบมาให้ใช้ได้ทั้งสาย Power และ Control ในตัวเดียวกันจะระบุเป็น 4/8 6/12 และ 8/24 เป็นต้น
ขนาดแรงดันไฟและกระแสไฟฟ้าที่ใช้งาน: จะใช้กับแรงดันไฟฟ้าเท่าไรซึ่งมีให้เลือกมากมาย เช่น หากเป็น Multipole connector จะมีแรงดัน สำหรับ Powerให้เลือกไม่ว่าจะเป็น 230, 400, 690 และสำหรับ Control 230V, 250V, 400V กระแสใช้งาน หากเป็นหน้าสัมผัส contact สำหรับ Power ก็จะมีให้เลือกเช่น 40A หรือ 80A และ Contact สำหรับ Control ก็จะเป็น 10A เป็นต้น
ขนาดของสาย: ขนาดของสายที่ใช้มีให้เลือกมากมายหลากหลาย เช่น สำหรับ Power ก็จะมีขนาดตั้งแต่ 0.14-16 mm² และสำหรับ Control 0.14-2.5 mm² โดยขนาดของสายไฟที่เลือกต้องสัมพันธ์กับกระแสไฟฟ้าที่ใช้จริง เนื่องจากขนาดของสายไฟแต่ละขนาดนั้นจะมีพิกัดการทนต่อกระแสไฟฟ้าที่ต่างกัน หากเราเลือกใช้ผิดอาจทำให้อุปกรณ์เกิดความเสียหายได้
ในการหาขนาดของสายไฟว่าเราควรจะใช้ขนาดที่เท่าไร อันดับแรกให้ดูว่าอุปกรณ์ที่เราจะนำไปใช้งานด้วยนั้นมีค่ากระแสไฟฟ้าอยู่ที่เท่าไร เมื่อเรารู้ค่าแล้วให้เผื่อค่ากระแสไฟฟ้าจากที่ใช้จริง โดยปกติจะเผื่ออยู่ที่ประมาณ 25% เมื่อได้ค่าแล้วให้นำมาเทียบกับตารางหาขนาดสายไฟ
ในบางครั้งการบอกขนาดอาจไม่ได้อยู่ในรูปแบบของตารางมิลลิเมตรเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันหน่วยที่นิยมใช้กันแพร่หลายคือ AWG (American wire gauge) เป็นหน่วยวัดขนาดของลวดตัวนำไฟฟ้าที่ใช้ในอเมริกา
วัสดุที่ใช้ทำหน้าสัมผัส: ขั้วต่อทางไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่ต้องสัมผัสกับไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น วัสดุที่นำมาใช้ควรเป็นวัสดุที่มีสมบัติเป็นตัวนำไฟฟ้าได้อย่างดี ทนต่อความร้อนและการสึกหรอได้ดี แข็งแรง ทนทาน วัสดุที่นำมาใช้ เช่น ทองแดง โดยทองแดงจะมีสมบัติเป็นตัวนำไฟฟ้าได้ดี ส่วนใหญ่มักจะเลือกใช้กับงานที่มีแรงดันสูง เงิน ก็เป็นวัสดุอีกหนึ่งอย่างที่นิยมนำมาใช้งาน
รูปแบบการเข้าสาย: มีหลายแบบ เช่น Screw Connection, Spring clamp Connection, Crimp Connection หรือ การใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Push-In เป็นการเข้าสายแบบง่าย ใช้เวลาน้อยและรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ เพิ่มเติม ซึ่งมี Spring Contact แบบพิเศษ ให้การยึดที่แน่นหนา ทนต่อการสั่นสะเทือน
ระบบการจ่ายไฟฟ้า: ในการเลือกเพาเวอร์ปลั๊กเราควรทราบถึงระบบการจ่ายไฟที่จะนำไปใช้งานด้วยว่าเป็นแบบใด ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายเพื่อความสะดวกในการใช้งานมีทั้ง 1 เฟส, 3 เฟส เป็นแบบ 2P+N, 3P+N 4P+N เป็นต้น
ลักษณะการติดตั้ง: ให้พิจารณาจากบริเวณพื้นที่ที่ต้องการนำไปใช้งานว่าต้องการแบบติดผนัง ติดหน้าตู้ หรือแบบติดลอย และจะนำไปใช้งานในอาคารหรือนอกอาคาร ซึ่งหากนำไปใช้นอกอาคารควรเลือกคอนเน็คเตอร์ที่ทำจากวัสดุคุณภาพดี สามารถกันน้ำกันฝุ่นได้ดีโดยปัจจุบันได้มีการออกแบบให้สามารถรองรับ IP68 ได้ และสามารถทนต่อการสึกกร่อนได้เป็นอย่างดี
จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้ว่าการเลือกใช้คอนเนคเตอร์เพื่อนำมาใช้งานในระบบของคุณนั้นจะต้องมีข้อพิจารณาอยู่หลายประการเพื่อให้เหมาะสมกับงานหรือระบบของคุณให้มากที่สุด แต่สิ่งสำคัญที่จะลืมไม่ได้ คือการประมาณจุดคุ้มทุน หรือด้านเศรษฐศาสตร์ เพราะจะทำให้สามารถตัดสินใจเลือกใช้คอนเนคเตอร์ประเภทใด บริเวณไหน ลักษณะและประเภทของงาน และคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ คอนเนคเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่มีส่วนสำคัญไม่น้อย และอาจจะส่งผลให้เกิดความสูญเสียพลังงานไฟฟ้าในระบบของคุณ หรืออาจทำให้ความเชื่อถือของระบบของคุณลดลงเนื่องจาก สายขาดหรือหลุดได้
ที่มา : http://esd.pea.co.th/electrical-engineering-articles/30-wedge-conector
ที่มา: http://www.tatc.ac.th/external_newsblog.php?links=136